3. และจงรักษาพระบัญชากำชับของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า คือดำเนินในบรรดาพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ พระบัญญัติของพระองค์ กฎหมายของพระองค์ และพระโอวาทของพระองค์ ดังที่ได้จารึกไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในบรรดาการซึ่งเจ้าได้กระทำ และในที่ใดๆที่เจ้าไป
4. เพื่อพระเจ้าจะได้สถาปนาพระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าระมัดระวังในวิถีทางทั้งหลาย ของเขา ที่จะดำเนินต่อหน้าเราด้วยความซื่อสัตย์อย่างสุดจิต สุดใจของเขา ราชวงศ์จะไม่ขาดชายที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล’
5. ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่า โยอาบบุตรนางเศรุยาห์ได้กระทำอะไรแก่เรา คือว่าเขาได้กระทำประการใดแก่ผู้บัญชา การทั้งสองแห่งกองทัพของอิสราเอล คือกระทำแก่อับเนอร์บุตรเนอร์ และแก่อามาสาบุตรเยเธอร์ที่โยอาบได้ฆ่าเสีย แก้แค้นในยามสันติแทนโลหิตที่ตกในยามสงคราม และวางโลหิตที่ไม่มีความผิดลงบนเจียระบาดที่เอวของเรา และลงบนรองเท้าที่อยู่ใต้เท้าของเรา
6. เพราะฉะนั้นเจ้าจงกระทำให้เหมาะสมตามปัญญาของเจ้า อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสันติ
7. แต่จงปฏิบัติด้วยความซื่อตรงต่อบุตรชายทั้งหลายของ บารซิลลัยคนกิเลอาด จงยอมให้เขาอยู่ในหมู่คนที่รับประทานอยู่ที่โต๊ะของเจ้า เพราะว่าเมื่อเราหนีจากอับซาโลมพี่ชายของเจ้านั้น เขาทั้งหลายได้มาพบกับเราด้วยความซื่อตรงดังนั้นแหละ
8. และมีชิเมอี บุตรเก-รา คนเบนยามินจากบ้านบาฮูริมอยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ด่าเราอย่างน่าสลดใจ ในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม แต่เขามาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน และเราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระเจ้าว่า ‘เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ’
9. เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีความผิด เพราะเจ้าเป็นคนมีปัญญา เจ้าจะทราบว่าควรจะกระทำประการใดแก่เขา และเจ้าจงนำศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคน ตายพร้อมกับโลหิต”
10. แล้วดาวิดก็บรรทมหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด
11. และเวลาที่ดาวิดทรงครอบครองอยู่เหนืออิสราเอลนั้น เป็นสี่สิบปี พระองค์ทรงครอบครองในเฮโบรนเจ็ดปี และในกรุงเยรูซาเล็มสามสิบสามปี
12. ดังนั้นแหละ ซาโลมอนจึงประทับบนพระที่นั่งของดาวิดราชบิดาของพระองค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ดำรงมั่นคงอยู่
13. แล้วอาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีท ได้เข้าเฝ้าพระนางบัทเชบา พระชนนีของซาโลมอน พระนางมีพระเสาวนีย์ว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ” ท่านทูลว่า “อย่างสันติขอรับกระหม่อม”
14. แล้วท่านทูลว่า “เกล้ากระหม่อมมีเรื่องที่จะทูลฝ่าพระบาท” พระนางมีพระเสาวนีย์ว่า “จงพูดไปเถิด”
15. ท่านจึงทูลว่า “ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่า ราชอาณาจักรนั้นเป็นของกระหม่อม และว่าบรรดาชนอิสราเอลทั้งสิ้นก็หมายใจว่า กระหม่อมจะได้ครอบครอง อย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรก็กลับกลายมาเป็นของพระอนุชาของกระหม่อม ด้วยราชอาณาจักรเป็นของเธอจากพระเจ้า
16. บัดนี้กระหม่อมทูลขอแต่ประการเดียว ขอฝ่าพระบาทอย่าได้ปฏิเสธเลย” พระนางมีพระเสาวนีย์ต่อเธอว่า “จงพูดไปเถิด”
17. และเธอทูลว่า “ขอฝ่าพระบาททูลพระราชาซาโลมอน ท่านคงไม่ปฏิเสธฝ่าพระบาท คือทูลขออาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม”
18. พระนางบัทเชบามีพระเสาวนีย์ว่า “ดีแล้ว เราจะทูลพระราชาแทนเจ้า”
19. พระนางบัทเชบาจึงเข้าเฝ้าพระราชาซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์ให้อาโดนียาห์ และพระราชาทรงลุกขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงคำนับพระนาง แล้วก็เสด็จประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ รับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระชนนี พระนางก็เสด็จประทับที่เบื้องขวาของพระองค์
20. แล้วพระนางทูลว่า “แม่จะขอจากเธอสักประการหนึ่ง ขออย่าปฏิเสธแม่เลย” และพระราชาทูลพระนางว่า “ขอมาเถิด ผมจะไม่ปฏิเสธเสด็จแม่”
21. พระนางทูลว่า “ขอยกอาบีชากชาวชูเนมให้กับอาโดนียาห์เชษฐา ของเธอให้เป็นชายาเถิด”
22. พระราชาซาโลมอนตรัสตอบพระชนนีของพระองค์ว่า “ไฉนเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้แก่อาโดนียาห์เล่า น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย เพราะเขาเป็นพระเชษฐาของผม และฝ่ายเขามีอาบียาธาร์ปุโรหิตและโยอาบบุตรนาง เศรุยาห์”
23. แล้วพระราชาซาโลมอนทรงปฏิญาณในพระนามของ พระเจ้าว่า “ถ้าถ้อยคำนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์เสียชีวิตของเขาแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษผม และยิ่งหนักกว่า